อุจจาระสีเขียว: เกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่?
อุจจาระสีเขียว อาจทำให้หลายคนรู้สึกกังวลใจ โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนแปลงจากสีปกติอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม อาการนี้ไม่ได้หมายความว่ามีภาวะร้ายแรงเสมอไป การเข้าใจสาเหตุที่เป็นไปได้จะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่าควรปรึกษาแพทย์หรือไม่
สาเหตุของอุจจาระสีเขียว
อุจจาระของมนุษย์ได้รับสีจากน้ำดี ซึ่งถูกผลิตโดยตับและหลั่งเข้าสู่ลำไส้เล็ก หากกระบวนการย่อยอาหารหรือการเคลื่อนตัวของลำไส้เปลี่ยนแปลง อาจส่งผลต่อสีของอุจจาระ ดังนี้:
1. การรับประทานอาหารที่มีสีเขียว
ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักโขม บรอกโคลี หรือคะน้า
อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการแต่งสีเขียว (เช่น ลูกอม สีผสมอาหาร)
2. การเคลื่อนไหวของลำไส้ที่เร็วเกินไป (ท้องเสีย)
ในกรณีที่ลำไส้เคลื่อนตัวเร็ว เช่นในภาวะท้องเสีย ร่างกายอาจไม่มีเวลาย่อยน้ำดีจนหมด ทำให้น้ำดีที่ยังมีสีเขียวถูกขับออกมาในอุจจาระ
3. การใช้ยาหรืออาหารเสริม
ยาปฏิชีวนะบางชนิดสามารถเปลี่ยนแปลงเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ ส่งผลต่อสีของอุจจาระ
ธาตุเหล็กหรืออาหารเสริมบางชนิดอาจทำให้เกิดสีเขียวได้เช่นกัน
4. การติดเชื้อในลำไส้
แบคทีเรีย เช่น Salmonella หรือ Clostridium difficile อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียร่วมกับอุจจาระสีเขียวได้ จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
อุจจาระสีเขียวควรไปพบแพทย์เมื่อใด?
ควรปรึกษาแพทย์ทันทีหากพบว่าอุจจาระสีเขียวมีอาการร่วมอื่น ๆ เช่น:
ปวดท้องรุนแรง
มีไข้
อุจจาระมีเลือดปน
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
ท้องเสียต่อเนื่องเกิน 2-3 วัน
ในกรณีที่พบอุจจาระสีเขียวโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน หรือมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของระบบทางเดินอาหาร ควรทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมโดยผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร
อุจจาระสีเขียวในเด็กและทารก
สำหรับทารก โดยเฉพาะในช่วงแรกเกิด อุจจาระสีเขียวอาจเป็นเรื่องปกติเนื่องจากระบบย่อยอาหารยังพัฒนาไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม หากมีการร้องไห้ผิดปกติ หรือดูดนมได้น้อย ควรได้รับการตรวจโดยแพทย์
การตรวจที่ใช้วินิจฉัยอุจจาระสีเขียว
1. การตรวจอุจจาระ (Stool analysis)
การวิเคราะห์อุจจาระจะช่วยตรวจหา:
การมีเชื้อแบคทีเรีย ปรสิต หรือไวรัส
การอักเสบของลำไส้
ไขมันในอุจจาระ (ในกรณีที่อาจมีภาวะดูดซึมผิดปกติ)
เลือดแฝงในอุจจาระ (Occult blood test)
2. การเพาะเชื้อจากอุจจาระ (Stool culture)
เพื่อระบุการติดเชื้อ เช่น:
Salmonella
Shigella
Campylobacter
Clostridium difficile
โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียเรื้อรังหรือได้รับยาปฏิชีวนะมาก่อน
3. การตรวจพยาธิในอุจจาระ (Ova and Parasites test)
ตรวจหาไข่ของพยาธิหรือพยาธิตัวเต็มวัยที่อาจเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสีของอุจจาระ
4. การตรวจเลือด (Blood tests)
เช่น:
การตรวจความสมบูรณ์ของเลือด (CBC)
ค่าการทำงานของตับ (Liver function tests)
ค่าการอักเสบ (CRP, ESR)
เพื่อประเมินภาวะติดเชื้อหรือโรคตับที่อาจส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร
5. การตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง (Abdominal ultrasound)
เพื่อตรวจดูอวัยวะในช่องท้อง เช่น ถุงน้ำดี ตับ และลำไส้ ในกรณีที่สงสัยว่ามีความผิดปกติในอวัยวะเหล่านี้
6. การส่องกล้องตรวจลำไส้ (Colonoscopy / Sigmoidoscopy)
ในกรณีที่อาการยังไม่ดีขึ้น หรือสงสัยภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือโรคมะเร็งในลำไส้ การส่องกล้องจะช่วยให้เห็นภาพโดยตรงของผนังลำไส้และสามารถตัดชิ้นเนื้อไปตรวจได้
เมื่อใดจึงควรทำการตรวจ?
การตรวจควรทำในกรณีที่:
อุจจาระสีเขียวเกิดขึ้นซ้ำบ่อยหรือเป็นเวลานาน
มีอาการท้องเสียต่อเนื่องมากกว่า 3 วัน
มีเลือดปนในอุจจาระหรืออุจจาระมีลักษณะมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย หรือปวดท้องรุนแรงร่วมด้วย
มีประวัติการเดินทางไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร
สรุป
อุจจาระสีเขียวอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การรับประทานอาหาร ไปจนถึงภาวะติดเชื้อในลำไส้ การสังเกตอาการร่วมจะช่วยในการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง
ผู้ที่มีข้อสงสัยหรือมีอาการผิดปกติ ควรติดต่อ Dr. Christos Zavos, แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารและตับ เพื่อขอรับคำปรึกษาโดยตรง ไม่ว่าจะผ่านการนัดหมายเข้ารับการตรวจที่คลินิกส่วนตัวของท่านที่ถนน Fanariou 8, Kalamaria (Thessaloniki), ประเทศกรีซ หรือผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสามารถกรอกแบบฟอร์มติดต่อได้ที่เว็บไซต์ peptiko.gr, โทรศัพท์ที่หมายเลข (+30)-6976596988 และ (+30)-2311283833 หรือส่งอีเมลมาที่ czavos@ymail.com